โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 26 มกราคม 2553 16:24 น. |
|
ติดต่อ คุณอัจฉรา 086-6282817 หรือร่วมบริจาค ธ.กรุงไทย เลขบัญชี 031-0-03432-9 หรือ ธ.กรุงเทพ เลขบัญชี 145-5-24762-5 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ต้องใช้จ่าย เดือนละ 1 แสนบาท โดยเป็นค่าใช้จ่าย ใน 3 โครงการ ที่ดูแล คนเร่ร่อนไร้บ้าน...พนักงานบริการ ...เด็กและเยาวชนในชนบทกลุ่มต่าง ๆ /"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่" (วินสตัน เชอร์ชิลล์).
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 26 มกราคม 2553 16:24 น. |
|
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ |
วิทยากร : สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คุณสรกมล ซาพิมพ์ โทรศัพท์ 023451059 Email : lcb_2551@hotmail.com, sorakamols@off.fti.ro.th |
สำนัก พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระทรวงพลังงาน(สพน.) ร่วมกับสมาคม จัดเสวนาสื่อมวลชน เรื่อง พลังงานนิวเคลียร์ : ความคุ้มค่าการลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานในอนาคตต |
วันที่ 26 มกราคม 2553 เวลา 13:30 น. |
ถานที่จัดกิจกรรม |
โรงแรม สยามซิตี้ |
กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพองค์กรคนพิการและการมี ส่วนร่วมในการพัฒนาครั้งที่ 5 วันที่ 26-29 มกราคม โรงแรม Prince Palace, กรุงเทพ วันที่บันทึก : 25/01/2010 ปรับปรุงวันที่ 25/01/2010 ผู้ชม : 43 ครั้ง |
กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพองค์กรคนพิการและ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาครั้งที่ 5 Capacity Development of Self-Help Organizations of Persons with Disabilities (CDSHOD) มูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิกในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี (APCD Foundation) โดยร่วมมือกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(Japan International Cooperation Agency-JICA), กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Disabled Peoples’ International Asia-Pacific-DPI/AP) จะจัดกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพองค์กรพีงตนเองของคนพิการครั้งที่ 5 (the 5th Capacity Development of Self-Help Organizations of Persons with Disabilities-CDSHOD) ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 26 ถึง 29 มกราคม 2553 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการจัด CDSHOD ใน อนุภูมิภาคต่างๆ ในเอเชียและแปซิฟิกเพื่อพัฒนาเครือข่ายและความร่วมมือในภูมิภาคและพัฒนา เครือข่ายการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพคนพิการในเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งเพื่อส่งเสริมสังคมที่ปราศจากอุปสรรคต่อคนพิการ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการจัดในประเทศเวียตนาม, ปากีสถาน, ปาปัวนิวกินี และ คีร์กิซสถาน โดยผลจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ทำให้เกิดการสร้างเสริมความเข้มแข็งแก่องค์กรคนพิการในระดับอนุภูมิภาค ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการจัดการประชุมในครั้งนี้ คือ การนำประเด็นคนพิการเข้าสู่เวทีอาเซียน โดยการก่อตั้ง ASEAN Disability Forum ซึ่งจะนำไปสู่การส่งเสริม, การพิทักษ์ และเครือข่ายปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ควบคู่ไปกับการดำเนินร่วมกับอาเซียนในการก่อตั้งชุมชนอาเซียน นอกจากนั้น Forum จะ นำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร, ประสบการณ์, วัฒนธรรม, ข้อมูลทางวิชาการ อันนำไปสู่การส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิคนพิการในฐานะที่เท่าเทียมกับสิทธิ มนุษยชน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมในประเทศอาเซียน พิธีเปิดการประชุมจัดให้มีขึ้นที่ห้องพัชราวดี โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพ ในวันที่ 26 มกราคม 2553 เวลา 9.00-9.45 น. ใน การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นผู้นำคนพิการจากประเทศในอนุภูมิภาค อาเซียน จำนวน 40 คน ประกอบด้วยประเทศกลุ่มอาเซียน (ประเทศบรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และ เวียตนาม) และ ติมอร์ตะวันออก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม APCD Bldg. 255 Rajvithi Rd., Rajthevi, |
เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มหาสมโณ สิ่งเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคต (พระพุทธเจ้า) ได้ตรัสเหตุของสิ่งเหล่านั้น รวมทั้งความดับของสิ่งเหล่านั้นด้วย พระมหาสมณะได้ตรัสไว้อย่างนี้ |
คำชี้แจงของสวนสันติธรรมฉบับที่ ๓ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อมนตรีกับหลวงพ่อปราโมทย์ ในปัจจุบันมีการออกข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อมนตรี อาภสฺสโร กับหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในทำนองว่าหลวงพ่อปราโมทย์แอบอ้างหรือแอบอิงหลวงพ่อมนตรี ในประเด็นต่างๆ คือ (๑) แอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกันคือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ทั้งด้วยคำพูดและข้อเขียน ซึ่งไม่เป็นความจริง (๒) แอบอ้างว่าการจัดสร้างสวนสันติธรรมเป็นดำริเริ่มต้น ของหลวงพ่อมนตรี และต่อมาได้รับการพิสูจน์ภายหลังว่าไม่เป็นความจริง และ (๓) หลวงพ่อปราโมทย์ มีความพยายามที่จะแสดงให้ญาติธรรมเข้าใจว่า หลวงพ่อมนตรี ได้เขียนจดหมายรับรองโสดาปัตติผลให้กับ แม่ชีอรนุช สันตยากร และได้รับการพิสูจน์ภายหลังว่า ไม่เป็นความจริง สวนสันติธรรมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ ๑. กรณีแอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เรื่องที่หลวงพ่อปราโมทย์เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก เฉพาะที่ยังดำรงชีวิตอยู่ก็เช่นท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม ท่านเจ้าคุณพระอาจารย์เยื้อน (ปัจจุบันท่านเป็นพระอาวุโสรองจากท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ) พระอาจารย์ทองพูน พระอาจารย์สุจินต์ พระอาจารย์ถนอม พระอาจารย์พลศรี พระอาจารย์พัฒนา ฯลฯ รวมทั้งอุบาสกอุบาสิกาทั้งในกรุงเทพและในจังหวัดสุรินทร์อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากหลวงพ่อมนตรีท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่า ท่านไม่ได้เป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับหลวงพ่อปราโมทย์ หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยพบหลวงพ่อมนตรีที่วัดบูรพาราม แต่ได้พบหลวงพ่อมนตรีครั้งแรกที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๒๖ – ๒๕๒๗ เนื่องจากได้พาพระเชือน ปิยาจาโร ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ดูลย์ในช่วงท้าย ไปกราบนมัสการหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แล้วได้พบหลวงพ่อมนตรีกำลังเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากนั้นก็ได้พบกันเป็นครั้งคราวแต่ไม่บ่อยนัก ๒. กรณีแอบอ้างว่าหลวงพ่อมนตรีเป็นผู้ริเริ่มให้สร้างสันติธรรม เรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มีพยานบุคคลรู้เห็นเป็นจำนวนมาก และมีลำดับขั้นตอนของเรื่องนี้ดังนี้คือ ๒.๑ เดิมหลวงพ่อปราโมทย์จำพรรษาอยู่ที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี และได้มีญาติโยมหลายท่านพยายามเสนอที่จะสร้างวัดใหม่ที่กว้างขวางกว่าเดิม ถวายให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งได้เพียรเสนอเรื่องนี้หลายคราว แต่หลวงพ่อปราโมทย์ก็ปฏิเสธทุกคราว ต่อมาหญิงผู้นี้ได้แจ้งให้หลวงพ่อปราโมทย์ทราบว่า หลวงพ่อมนตรีเร่งเร้าให้ย้ายวัดได้แล้ว เพราะการอยู่ที่เดิมเป็นการกีดขวางพระรูปหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคำกล่าวของหลวงพ่อมนตรีจริงตามที่หญิงผู้ นั้นอ้างหรือไม่) เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์ทราบว่าหลวงพ่อมนตรีต้องการให้ย้ายวัด ก็คิดจะย้ายตามบัญชาด้วยความเคารพในอาวุโส แต่คิดไม่ตกว่าควรไปอยู่ที่จังหวัดใด เพราะไม่ว่าคิดจะไปอยู่ที่ใด หญิงนั้นก็มาบอกทุกคราวว่าหลวงพ่อมนตรีไม่เห็นด้วย ในที่สุดหลวงพ่อปราโมทย์และคณะจึงเดินทางไปกราบหลวงพ่อมนตรีที่สวนพุทธธรรม ป่าละอูเมื่อ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๘ โดยการอำนวยการของหญิงผู้นั้นและน้องสาวซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อมนตรี ๒.๒ เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เดินทางไปถึงสวนพุทธธรรม ก็พบว่าหลวงพ่อมนตรีมีบัญชาให้พระหลายรูปมารอต้อนรับที่ลานจอดรถ แล้วนำขึ้นไปที่ศาลาหินอ่อนบนเขา ซึ่งในขณะนั้นมีญาติโยมนั่งอยู่หลายคน (พร้อมจะเป็นพยานในเรื่องนี้ได้) และเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์กราบถวายสักการะและเรียกท่านว่า “พระอาจารย์” ท่านก็ให้เรียกใหม่ว่า “หลวงพี่” หลวงพ่อปราโมทย์จึงกราบเรียนถามว่า “หลวงพี่จะให้ผมไปอยู่ที่ไหน” ท่านตอบทันทีว่า “ให้ไปอยู่ชลบุรี” หลวงพ่อปราโมทย์ก็รับว่าจะไปอยู่ตามนั้น ท่านก็มอบให้หญิงนั้นเป็นแกนกลางในการก่อสร้าง โดยบอกญาติโยมในที่นั้น และบอกในเวลาต่อมาอีกหลายวาระ ให้ไปช่วยกันก่อสร้าง ซึ่งเรื่องนี้มีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก ๒.๓ เมื่อการก่อสร้างสวนสันติธรรมแล้วเสร็จ หลวงพ่อปราโมทย์ก็เดินทางไปกราบเรียนและนิมนต์หลวงพ่อมนตรีไปร่วมงานฉลอง แต่ท่านขอตัว บอกว่าท่านไม่ชอบไปงานใดๆ ๒.๔ สำหรับการที่เวปวิมุตติถอดเรื่อง “กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม” ออก ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะถูกจับผิด แต่เป็นเพราะเคารพในคำสั่งของหลวงพ่อมนตรี ที่ไม่ให้มีการเอ่ยอ้างถึงชื่อของท่านอีก ๓. การแอบอ้างว่าหลวงพ่อมนตรีเขียนจดหมายรับรองโสดาปัตติผลให้กับ แม่ชีอรนุช สันตยากร หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยกล่าวอ้างเช่นนั้น เพราะเป็นเรื่องที่ผิดพระธรรมวินัยทั้งสำหรับหลวงพ่อมนตรีและหลวงพ่อ ปราโมทย์ แต่เป็นเพียงความเข้าใจผิดไปเองของผู้ฟังที่ได้ยินเรื่องที่ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ได้เขียนจดหมายไปรายงานกิจการของสวนสันติธรรมหลายเรื่องต่อ หลวงพ่อมนตรี รวมทั้งผลการปฏิบัติของพระในสวนสันติธรรมและแม่ชีอรนุชด้วย ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่ได้กล่าวถึงมรรคผลใดๆ ของใครทั้งสิ้น แล้วหลวงพ่อมนตรีก็เขียนจดหมายชมเชยแม่ชีอรนุชว่า “เป็นผู้เสียสละอย่างยิ่งที่ก้าวตามท่านเข้ามาสู่มรรคาธรรมสายนี้ นับเป็นยอดหญิงที่เยี่ยมยอดมากในยุคสมัยนี้ ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้” (จดหมายต้นฉบับยังมีอยู่ที่สวนสันติธรรม) ไม่มีส่วนใดที่ท่านพยากรณ์มรรคผลของแม่ชีอรนุช แต่ญาติโยมทั้งหลายพอได้ยินว่าครูบาอาจารย์ชมเชยใคร ก็ชอบตั้งให้ผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคล เวลาที่มีผู้หนึ่งผู้ใดคิดว่าตนเองเป็นพระอริยบุคคล หลวงพ่อปราโมทย์มักจะให้กลับไปคอยสังเกตจิตว่า ยังมีกิเลสที่พระอริยบุคคลชั้นนั้นต้องละได้เด็ดขาดแล้ว กลับบังเกิดขึ้นอีกหรือไม่ และกล่าวอยู่เนืองๆ ว่า “เอกสิทธิ์ในการพยากรณ์มรรคผลเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น” อนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพระกับพระ เป็นเรื่องความเห็นต่างเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านหนึ่งเน้นให้มีความเพียรไว้ก่อน ส่วนอีกท่านหนึ่งให้หัดรู้สภาวะเพื่อเจริญปัญญาไว้ก่อน เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงในตนเองบ้างแล้ว ก็จะเกิดศรัทธาและความเพียรที่แก่กล้ายิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งการจะเน้นในเรื่องใดก่อนหลังที่แตกต่างกันนั้น เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีหลายประเภท เช่นวิริยาธิกะ กับปัญญาธิกะ เป็นต้น ดังนั้นใครชอบใจอย่างใด ก็ควรเลือกแนวทางปฏิบัติที่สมควรแก่ตนอย่างนั้น คำชี้แจงของสวนสันติธรรมฉบับที่ ๒ เรื่องกลุ่มผู้มุ่งทำลายหลวงพ่อปราโมทย์ หลวงพ่อปราโมทย์ได้พยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจเผยแผ่ธรรมะ จนปรากฏผลว่ามีผู้คนจำนวนมากซึ่งไม่เคยสนใจพระพุทธศาสนา ได้หันมาสนใจและได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดศรัทธาแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา และเกิดกระแสความตื่นตัวทางธรรมอย่างขนานใหญ่ ท่ามกลางปรากฏการณ์เช่นนั้น ได้มีครูบาอาจารย์หลายรูปและผู้หวังดีจำนวนมาก คอยเตือนภัยให้หลวงพ่อปราโมทย์ทราบอยู่เสมอ ว่าให้ระวังกลุ่มที่มุ่งทำลายพระผู้ทำงานรับใช้พระศาสนา ซึ่งมีอยู่หลายจำพวก เช่น (๑) กลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา (๒) กลุ่มที่เกิดความอิจฉาริษยาและต้องการแย่งชิงศรัทธาจากสาธุชน (๓) กลุ่มที่มีแนวความคิด ความเชื่อ และแนวทางปฏิบัติแตกต่างกัน (๔) กลุ่มที่ต้องการเข้ามาแอบอิงแสวงประโยชน์ หากไม่ได้ประโยชน์ที่ต้องการก็จะเกิดความคับแค้นและหาทางทำลายล้างด้วยความ พยาบาท และ (๕) กลุ่มที่ต้องการสร้างชื่อเสียงตามกระแสสังคม คือหากพระรูปใดมีชื่อเสียงก็เข้าไปแอบอิง และหากพระรูปนั้นเกิดถูกใส่ร้ายโจมตีมากๆ ในระยะหลัง ก็จะเข้าร่วมโจมตีซ้ำเติมด้วยเพื่อความเป็นวีรบุรุษ เป็นต้น ทั้งนี้ครูบาอาจารย์และผู้หวังดีได้เตือนให้ระวังวิธีทำลายพระ ซึ่งมีอยู่หลายอย่าง นับตั้งแต่การวางยาพิษ การใส่ร้ายเรื่องผู้หญิง และการใส่ร้ายเรื่องเงิน เป็นต้น ภายหลังที่เกิดข่าวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์มาเป็นระยะ ได้เกิดการรวมตัวเป็นขบวนการณ์ทำลายหลวงพ่อปราโมทย์โดยบุคคลหลายกลุ่ม และมีการกำหนดแผนงานประสานกันอย่างเป็นขั้นตอนมานานนับปี โดยแต่ละกลุ่มอาจมีความต้องการเบื้องหลังที่แตกต่างกัน แต่มีกิจกรรมที่ดำเนินการร่วมกันคือการโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งปัจจุบันสามารถจำแนกกลุ่มเหล่านี้ได้ดังนี้คือ (๑) “กลุ่มที่เข้าใจผิดว่าหลวงพ่อปราโมทย์บิดเบือนคำสอนของครูบาอาจารย์” เป็นกลุ่มแรกที่ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ทาง internet แต่เป็นการกล่าวโจมตีที่ค่อนข้างไม่สุภาพ และหยิบยกคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาวิจารณ์อย่างไม่ประติดประต่อ (๒) กลุ่มสานุศิษย์ของพระผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ (๓) กลุ่มอาฆาตแค้นเป็นการส่วนตัว และ (๔) กลุ่มเล่นตามสถานการณ์ ทั้งนี้ยังไม่พบว่ามีคนต่างศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำลายหลวงพ่อปราโมทย์ คำชี้แจงของสวนสันติธรรมฉบับที่ ๑ เรื่องการสร้างสถานการณ์ที่ศาลากาญจนาภิเษก เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีกำหนดการจะไปแสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ถนนแจ้งวัฒนะ ในระหว่างที่หลวงพ่อปราโมทย์กำลังเดินทางเพื่อไปแสดงธรรมนั้น คณะศิษย์ได้ติดต่อแจ้งขอให้ระงับการเดินทาง เนื่องจากมีข่าวว่ามีการเตรียมสร้างสถานกาณ์ในทำนองจะจับกุมหลวงพ่อปราโมทย์ ในคดีอาญา โดย “กลุ่มผู้มุ่งทำลายหลวงพ่อปราโมทย์” ได้วางแผนไว้อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การปล่อยข่าวบิดเบือน เพื่อทำลายชื่อเสียงและทำลายศรัทธาของสานุศิษย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีการสร้างสถานการณ์การจับกุมที่ศาลาลุงชินท่ามกลางญาติโยมกว่าพันคน (เพื่อให้เกิดภาพทางสังคมว่ามีการจับพระอลัชชี เมื่อสังคมคล้อยตามแล้วการทำลายหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะทำได้ง่ายขึ้น และแม้ในภายหลังหากหลวงพ่อปราโมทย์เกิดชนะคดีขึ้นมา ก็ไม่เป็นข่าวเหมือนเมื่อมีการจับกุมในที่สาธารณะ) หรืออาจมีการดำเนินการอื่นเพื่อบีบบังคับให้หลวงพ่อปราโมทย์ลาสิกขา(สึก) เป็นต้น หลวงพ่อปราโมทย์จึงเดินทางกลับสวนสันติธรรม (เพราะหากมีการจับกุมในที่สาธารณะ อาจมีผู้ฉวยโอกาสก่อความรุนแรงขึ้น โดยอ้างว่าสานุศิษย์ของหลวงพ่อขัดขืนเจ้าพนักงาน) และรออยู่จนค่ำก็ไม่มีการจับกุมแต่อย่างใด ในความเป็นจริงแล้ว หากมีผู้แจ้งความกล่าวโทษผู้หนึ่งผู้ใดในคดีอาญา และไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า ก็ชอบที่เจ้าพนักงานจะมีหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปพบ ไม่จำเป็นต้องจับกุมในที่สาธารณะ อันแสดงถึงเจตนาในการสร้างข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของบุคคล ยิ่งกว่าการกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีตามครรลองของกฎหมาย แถลงการณ์ของสวนสันติธรรม เรื่องปณิธานของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของสวนสันติธรรม ด้วยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้บรรพชาอุปสมบท โดยมีปณิธานที่จะทำประโยชน์ ของตนในด้านจิตตภาวนาและปัญญาภาวนา รวมทั้งช่วยปลูกฝังศรัทธาและความเข้าใจเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาให้กับเพื่อนชาวพุทธเท่าที่พอจะทำได้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่เร่าร้อน ได้อย่างสงบสุขตามสมควรแก่อัตภาพ และเป็นบาทฐานเพื่อการเจริญศีล สมาธิและปัญญา อันยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมานับว่าประสบความสำเร็จที่น่าพอใจแล้ว เพราะเพื่อนชาวพุทธจำนวนมากทั่วโลก ได้บังเกิดความตื่นตัวในการศึกษาปฏิบัติธรรม และเห็นผลความ เปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในชีวิตอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมเพื่อความพ้นทุกข์มีจริง และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามีจริง อย่างไรก็ตาม การที่ผู้คนจำนวนมากสนใจการปฏิบัติตามแนวทางที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน ได้ก่อผลกระทบโดยไม่เจตนาต่อบุคคลบางคนบางกลุ่ม จนมีการปลุกกระแสต่อต้านหลวงพ่อปราโมทย์แม้ด้วยวิธีการที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์และสวนสันติธรรมได้พยายามอยู่ในความสงบตลอดมา เนื่องจากเกรงว่าความขัดแย้งจะบานปลายเป็นการแยกพวกของชาวพุทธ แต่นับวันกระแสความรุนแรงยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในแวดวงของชาวพุทธ หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้ประกาศธรรมเพราะหวังชื่อเสียงหรือลาภ สักการะ และไม่ได้เห็นว่าตนเองสำคัญไปกว่าความสงบร่มเย็นในแวดวงของชาวพุทธ ดังนั้นเพื่อลดความขัดแย้งต่างๆ ลง หลวงพ่อปราโมทย์และสวนสันติธรรมจะลดการเผยแผ่ในวงกว้างลงเท่าที่จะทำได้ เช่น (๑) การยุติการผลิต CD แผ่นใหม่ (๒) การยกเลิกการเผยแผ่ธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ทางเวปวิมุตติ และ (๓) การเจรจาเพื่อขอยกเลิกการนิมนต์แสดงธรรมนอกสถานที่ซึ่งได้รับไว้แล้ว ให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าภาพจะยอมรับได้ เป็นต้น ส่วนกรณีที่บุคคลอื่นหรือเวปไซท์อื่นจะนำหนังสือหรือ CD ที่เผยแพร่ไว้แล้วทางเวปวิมุตติไปใช้ประโยชน์ที่ไม่ใช่การพาณิชย์ เป็นสิ่งที่สวนสันติธรรมไม่สามารถจะเข้าไปห้ามได้ เพราะธรรมะเป็นของกลาง ไม่ใช่ของผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกีดกันหวงห้ามได้ สวนสันติธรรมขอยืนยันว่า ไม่ได้หวั่นเกรงต่อการใส่ร้ายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย เพราะการดำเนินงานที่ผ่านมาได้กระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ความจริงได้เสมอ ทั้งขอยืนยันว่าหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช เป็นศิษย์ที่ได้ศึกษาธรรมโดยตรงจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดยมีพระมหาเถระเช่นท่านพระราชวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบูรพารามและเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์(ธ) ผู้เป็นทั้งหลานและศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่มากที่สุด (ท่านจึงสามารถเรียบเรียงคำสอนของหลวงปู่ออกมาเป็นหนังสือ “หลวงปู่ฝากไว้” ได้น่าอ่านอย่างยิ่ง) และมีศิษย์ร่วมสำนักเป็นพยานรู้เห็นเป็นจำนวนมาก ทั้งยังได้รับการยอมรับจากพระมหาเถระผู้แตกฉานรอบรู้ในคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ว่า หลวงพ่อปราโมทย์เป็นผู้ประกาศเกียรติคุณและคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ให้กว้าง ขวางเป็นประโยชน์แก่มหาชนจำนวนมาก นอกจากนี้หลวงพ่อปราโมทย์ยังได้ศึกษาธรรมะเพิ่มเติมจากพ่อแม่ครูอาจารย์อีก หลายรูป ซึ่งก็มีพยานรู้เห็นทั้งพระและฆราวาสเช่นกัน ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองจะชี้ขาด ปฏิเสธได้ตามความพอใจ สวนสันติธรรมไม่กล่าวร้ายล่วงเกินท่านผู้หนึ่งผู้ใด แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฏหมายในกรณีที่จำเป็นต่อไป |
ประกาศมูลนิธิบ้านอารีย์ ก่อน อื่นต้องกราบขอขมาทุกท่านกับการกระทำที่เกิดขึ้น อาจทำให้เกิดอกุศลจิตขึ้นได้ โดยที่มิได้มุ่งหวังเช่นนั้น เป็นเพียงการตั้งใจทำหน้าที่ของผู้ร่วมเดินทางในสังสารวัฎ ตามกำลังสติปัญญาที่มี ที่สำคัญไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อใคร ทั้งยังเป็นเรื่องที่อึดอัดลำบากใจ อย่างถึงที่สุดในการกระทำ แต่ด้วยภาพที่ประสบทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงความอ่อนแอของเพื่อนร่วมทุกข์ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนบ้านอารีย์ โดยเฉพาะในระยะหลังๆที่ล้วนเข้ามาด้วยความโหยหาที่พึ่ง แต่ที่พึ่งนั้นกลับมิใช่พระธรรม ตามที่พระศาสดาคือพระพุทธเจ้าของเราทรงมอบไว้ให้ กลับอยู่ที่ตัวบุคคล หรืออิทธิฤทธิ์ ปาฎิหาริย์ของบุคคล บ้าน อารีย์เริ่มแปรสภาพเป็นสำนักผู้วิเศษ สามารถรู้วาระจิตของผู้เข้ามาเยือน ส่งผลให้ชาวพุทธอ่อนกำลังลงอย่างสิ้นเชิง ภาพเหล่านี้พบเห็นอยู่ทุกวัน ทำให้จำต้องหันมาพิจารณาถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่เผยแพร่ สิ่งที่สอน ว่าเหตุใดกัน ทำไมถึงกลายเป็นยิ่งปฏิบัติยิ่งอ่อนแอลง อีก ทั้งด้วยบ้านอารีย์ได้มีครูบาอาจารย์แวะเวียนมาเมตตาเป็นระยะ ทำให้ได้ลองตรวจสอบคำสอนและแนวทางดู จึงได้พบเห็นบางสิ่งบางอย่างจนนำมาซึ่งการตัดสินใจนี้ และจะได้แจกแจงในประกาศนี้ ทั้งนี้บ้านอารีย์ขอยืนยันว่า เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 3 วัน ที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่ามิได้เป็นเรื่องของการอื่นใด เว้นแต่เพียงต้องการกระตุ้นให้เพื่อนร่วมทุกข์เฉลียวใจหันมามองสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยกันรักษาพระสัทธรรมแท้ไว้ให้ลูกหลานของเราเท่านั้น จาก ที่บ้านอารีย์ได้ประกาศยุติการเผยแผ่คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชนั้น ได้มีผู้สอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก บ้านอารีย์จึงขอชี้แจงเหตุผลที่ทำให้เห็นว่า ต้องยุติการเผยแผ่คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโชดังนี้ 1. การ บรรยายธรรมหลายครั้ง หลายกรณีมีการกระทบกระทั่งไปยังสำนักต่างๆ แทบจะทุกสำนัก ในลักษณะที่สื่อให้เห็นว่า การปฏิบัติของสำนักอื่นๆนั้น ยังมีข้อบกพร่อง ยังไม่สมบูรณ์ ต้องเสริมด้วยวิธีของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ทำให้เกิดอกุศลขึ้นระหว่างหมู่ผู้ปฏิบัติ ที่มีศรัทธาในสำนัก ในครูบาอาจารย์ของตน ไม่ก่อให้เกิดสังคมของพุทธศาสนิกชนที่ร่มเย็นขึ้นได้ จนทำให้ต้องมีการตัดต่อ ตัดตอน ลบ เก็บสื่อการสอนอยู่เป็นระยะๆ 2. การ บรรยายธรรมหลายครั้ง หลายกรณีและบทความข้อเขียนเล่มต่างๆ มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งเป็นธรรมล้ำสามัญมนุษย์ กรณี เช่นนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงตำหนิภิกษุที่มีพฤติกรรมดังกล่าวว่า เปรียบเสมือนสตรีที่เผยอวัยวะพึงสงวนให้เขาดู เพราะเห็นแก่เงินทองของต่ำทราม 3. แก่น การสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ใช้การทักวาระจิต ทายใจเป็นหลัก และเป็นการใช้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกคราวของการแสดงธรรม ทำให้เกิดการเสพติดของนักปฏิบัติ และเป็นวิถีทางการปฏิบัติแบบใหม่ ที่ผู้ปฏิบัติเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์จำนวนมาก ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ต้องอาศัยหวังพึ่งพิงปาฏิหาริย์ ทำลายหลักการ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ลงอย่างสิ้นเชิง วิกฤติ การณ์นี้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่สนใจปฏิบัติ เมื่อเข้ามาสู่การสอนในลักษณะนี้ ได้ก่อให้เกิดสภาพเหมือนการปฏิบัติธรรมกลายเป็นศาสตร์แห่งไสย แทนที่ศาสตร์แห่งพุทธะ ที่สำคัญ แม้วิชานี้อาจทำได้จริง อาจให้ประโยชน์กับบางบุคคลในบางกรณี ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงผิดพลาดได้ ลัทธิอื่นก็มีวิชานี้ได้เช่นกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงติเตียนและปราชญ์ทั้งหลาย อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ไม่อนุญาตให้พระลูกศิษย์รูปใดกระทำเช่นนั้น หากมีลูกศิษย์รูปใดกระทำ หลวงปู่ดูลย์จะประณามเอาอย่างรุนแรง เพื่อให้ยุติการกระทำเยี่ยงนั้น นอก จากนี้ ญาติธรรมหลายๆท่านได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองกำลังขาดสติแต่ถูกหลวงพ่อปราโมทย์ทักว่า ปฎิบัติได้ดี แสดงให้เห็นว่าการใช้การทักวาระจิตของท่านนั้นคลาดเคลื่อนไปจากสภาวะธรรมที่ เป็นจริง และไม่สามารถยึดเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง 4. แนว ทางการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ไม่มีขั้นตอนการปฎิบัติที่ชัดเจน จึงต้องอาศัยการถามตอบเป็นหลักนั้น ทำให้ไม่มีมาตรฐานทางธรรม เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นกับผู้ปฎิบัติ เฝ้ากังวลว่าจะปฎิบัติถูกหรือผิดหรือไม่อย่างไร จะเอาจิตไว้ที่ไหน ฯลฯ เพราะคอยแต่คิดคำนึงไปตามสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา วนเวียนอยู่กับการถามตอบ อีก ทั้งหลายกรณี คำตอบที่ได้จากหมู่ผู้สอนที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อปราโมทย์ให้สอน ก็ขัดแย้งกันเอง จนนำมาซึ่งความสับสน เหนื่อยหน่าย เสื่อมความเพียรในการมุ่งหน้าเข้าสู่การปฎิบัติที่แท้จริง ”ขาดศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของตนเอง” ในการจะปฎิบัติธรรมให้ได้ผล ประหนึ่งนกที่ถูกผู้เลี้ยงหักปีกไว้ ทำให้ไม่สามารถบินไปไหนได้ เอาแต่คอยอาหารและน้ำจากผู้เลี้ยงเท่านั้น 5. ใน การแสดงธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์หลายครั้ง ได้ดูแคลนแนวทางการปฎิบัติที่ทำความเพียรในรูปแบบ และข้อวัตรปฎิบัติต่างๆของครูบาอาจารย์ต่างสำนัก ด้วยอาการเยาะเย้ย เหยียดหยาม ทำนองว่าเป็นทุกขาปฎิปทา ไม่เหมาะกับปัญญาชนคนเมือง ทำให้ล่าช้า สู้การทำความเพียรด้วยการฟังซีดีของท่านบ่อยๆ ไม่ได้ นอก จากนั้น ท่านยังไม่ส่งเสริมการสวดมนต์ การทำวัตรเช้าเย็น ซึ่งถือว่าขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับปฏิปทาของครูบาอาจารย์ที่ท่านอ้างว่าตนเป็น ลูกศิษย์ โดยเฉพาะหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ลูกศิษย์ที่ดีจะต้องยึดปฏิบัติตามปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ตนนับถือได้ วางไว้ นอก จากปฏิปทาต่างๆแล้ว ยังมีข้อวัตรต่างๆที่ท่านละเลย เช่น การบิณฑบาตร เป็นต้น ซึ่งท่านไม่ได้ให้ความสนใจปฏิบัติในข้อวัตรที่จำเป็นเหล่านี้เลย 6. จาก การพบปะพูดคุยกับญาติธรรมจำนวนมาก ที่อาศัยเพียงการดูจิตในชีวิตประจำวัน โดยละเลยการปฏิบัติในรูปแบบ และการทำสมถะซึ่งเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความตั้งมั่นของจิต ทำให้ไม่มีกำลังที่จะใช้ดูจิต ถูกอารมณ์ลากพาไป เห็นแต่เพียงอาการของจิต ไม่สามารถทำให้ลดละกิเลสได้ ซึ่งครูบาอาจารย์สำนักต่างๆ หลายสำนัก ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า การทำสมถะมีความจำเป็นสำหรับทุกคน มิใช่บางคนเท่านั้น 7. หลังจากที่บ้านอารีย์ได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบข้อเท็จจริงว่า 7.1 จากการที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้มีความเพียรพยายามอ้างถึง ความเกี่ยวพันกับ หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร (ผู้เป็นศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล) และสวนพุทธธรรม-ป่า ละอู ในลักษณะศิษย์พี่ศิษย์น้อง และวัดพี่วัดน้อง อย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในรูปของคำพูด และข้อเขียน ไม่เป็นความจริง 7.2 จากการที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้ระบุไว้ในข้อเขียนเรื่อง “กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม” (ปัจจุบันถูกลบออกจาก website ของสวนสันติธรรม หลังจากมีประกาศชี้แจงเรื่อง ความเกี่ยวพันระหว่างสวนพุทธธรรม-ป่าละอู และสวนสันติธรรมศรีราชา ลงวันที่ 11พฤศจิกายน 2552) ซึ่ง มีเนื้อความกล่าวถึง การจัดสร้างสวนสันติธรรมว่า เป็นดำริเริ่มต้น ของหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร และต่อมาได้รับการพิสูจน์ภายหลังว่า ไม่เป็นความจริงเช่นกัน 7.3 จาก การที่ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีความพยายามที่จะแสดงให้ญาติธรรมเข้าใจว่า หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร ได้เขียนจดหมายรับรองโสดาปัตติผลให้กับ แม่ชีอรนุช สันตยากร นั้นก็ได้รับการพิสูจน์ภายหลังว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด 8. บ้าน อารีย์เห็นว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีปฏิปทาสวนทางกับพระพุทธวจนะ ว่าด้วยการพยากรณ์อริยะผล ซึ่งเป็นวิสัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นที่รับทราบกันดีว่า มีการพยากรณ์โสดาปัตติผลให้แก่ลูกศิษย์จำนวนอย่างน้อย 6 ราย อีกทั้งการพยากรณ์กันเองในหมู่ผู้แวดล้อม เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงติเตียน ดังในพระสูตรภิกษุโจรที่พยากรณ์กันเอง จนมีลาภสักการะจำนวนมาก บ้าน อารีย์เคารพเทิดทูนพ่อแม่ครูอาจารย์ยิ่งชีวิต และมีความเชื่อว่า พวกเราควรยึดหลักที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้คือ มีพระธรรมเป็นศาสดา มิใช่ยึดถือในตัวบุคคล ศรัทธาในตัวบุคคลเป็นใหญ่ เมื่อบุคคลวิบัติ ก็ยังมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บ้าน อารีย์ขอยืนยันด้วยความสุจริตใจว่า การกระทำใดๆ ตลอดจนข้อเท็จจริง และเหตุผลที่บ้านอารีย์ได้นำมาเปิดเผยในประกาศฉบับนี้ เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาก้าวล่วง ไปตำหนิหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัว หากแต่เป็นไปเพื่อปกปักรักษาพระศาสนา ในฐานะที่เป็นชาวพุทธตามทำนองคลองธรรม อันจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปในภายหน้า ทั้ง นี้ บ้านอารีย์ยังใคร่เชิญชวนพุทธศาสนิกชนที่มีความสนใจ หรือสงสัยในความถูกต้องของข้อความข้างต้น ได้ทำใจเป็นกลาง และใช้โยนิโสมนสิการ เฝ้าตามสังเกตข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ด้วยตัวท่านเอง
|
กิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ครั้งที่ 3
หัวข้อ “ กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน"
วันอังคารที่ 19 มกราคม 2553 เวลา 09.00 – 12.00 น.
ณ ห้องประชุม ชั้น 1 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
หลักการและเหตุผล
จากกระแสเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัต น์ การปรับบทบาทด้านการพัฒนาและยกระดับสมรรถนะ โดยอาศัยหลักการสำคัญด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย เพื่อการปรับตัวให้สามารถรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในยุคการค้าเสรี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ซึ่งรับผิดชอบดำเนินภารกิจหลักด้านโลจิสติกส์ของกระทรวงอุตสาหกรรม จึงเร่งดำเนินการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ด้านการพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ให้แก่บุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักถึงความสำคัญด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อสนองตอบยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ด้วยการจัดกิจกรรมการถ่ายทอดความรู้เชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ โดยในปี 2553 กพร. ได้กำหนดแผนการดำเนินงานต่อเนื่อง และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิต ด้วยกิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ซึ่งมุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศแก่ผู้ประกอบการ โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ร่วมเป็น วิทยากร เพื่อสร้างต้นแบบการพัฒนาองค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
โดยกิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ครั้งที่ 3 หัวข้อ “กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน” กำหนดจัดในวันอังคารที่ 19 มกราคม 2553 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 1 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกันดังกำหนดการด่านล่าง
กำหนดการ | |
08.30 - 09.00น. | ลงทะเบียน |
09.00 –09.05 น. | กล่าวตอนรับ โดย ท่านผอ.อนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักโลจิสติกส์ |
09.05 - 10.30 น. | การบรรยายเรื่อง "หัวข้อ แนวทางการพัฒนาศักยภาพบุคลากร |
10.30 - 10.45 น. | พักรับประทานอาหารว่าง |
10.45 - 12.00 น. | การบรรยายเรื่อง “การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันด้านการค้า และการลงทุนทางเศรษฐกิจ โดยใช้แนวทางบริหารจัดการระบบ Reverse Logistics เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ ในทศวรรษหน้า" โดย: ผู้แทน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) |
สถาบันอาหาร ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา
สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คุณธิติ ศรีวรรณยศ / คุณโสภนา มณีเรือง แผนกพัฒนาการตลาด สถาบันอาหาร โทร.0-2886-8088 ต่อ 5327, 5312 โทรสาร.0-2883-5021
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ |
วิทยากร : สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คุณสรกมล ซาพิมพ์ โทรศัพท์ 023451059 Email : lcb_2551@hotmail.com, sorakamols@off.fti.ro.th |
เพื่อนำเสนอข้อมูลและสภาพเส้นทางบกในการเชื่อมโยงไทย – จีน ในแต่ละเส้นทางและวิเคราะห์การใช้ประโยชน์จากเส้นทางโลจิสติกส์ การค้าที่เชื่อมโยงไทย – จีน รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนคติต่างๆ ระหว่างผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนา จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ เข้าร่วมงาน ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวโดยมิได้มีการเก็บค่าลงทะเบียนแต่อย่างใด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและแจ้งตอบรับ ได้ที่
สำนักงานเลขานุการ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โทรศัพท์ 0-2564-5000-3
โทรสาร 0-2564-4777, 0-2564-4888
ภายในวันที่ 11 มกราคม 2553